วิธีปรับ EQ แบบมาตรฐาน


 ผมเก็บของเขามาเห็นที่ไหนก็ก็อปไว้บางครั้งก็มีชื่อเจ้าของบทความ บางครั้งก็จำชื่อเจ้าของบทความไม่ได้ บางข้อความก็เป็นของหลายท่าน ผมเอามาต่อกันให้สมบูรณ์ขึ้น ต้องขออภัยด้วย  เครดิตให้เจ้าของบทความครับ

เป็นข้อความของท่าน "โอมิวสิค" อุดร...อีกทีครับ...ขออนุญาตินำมาเผยแพร่ครับพี่น้อง

วัตถุประสงค์ของการปรับแต่ง EQ ก็คือ ต้องการให้ระบบเสียงโดยรวมที่ออกมาจากลำโพงนั้น

มีความถี่เสียงทุกเสียง ดังออกมาเท่าๆกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องการให้ เสียงทุ้ม เสียงกลาง เสียงแหลม มีระดับความสมดุลย์ของความดังให้มากที่สุด ในระดับความดัง น้อยๆ (เสียงค่อย) นั้น...... หูมนุษย์จะตอบสนองกับเสียงทุ้มและเสียงแหลมน้อยมาก คือ ไม่ค่อยได้ยิน นั่นเอง แต่จะได้ยินเสียงกลางมากที่สุดเครื่องเสียงชั้นดีโดยทั่วๆไป นั้น จะผลิตความดังของทุกย่านความถี่ออกมาเท่า ๆ กันอยู่แล้ว

แต่ดังที่กล่าวแล้วว่า ในระดับความดังต่ำ ๆ เราจะไม่ได้ยินเสียงทุ้ม กับเสียงแหลม ทั้งที่มันก็ดังนั่นแหละ แต่เราไม่ได้ยินซะเอง

ดังนั้น เครื่องเสียง ส่วนใหญ่ จึงให้วงจรชดเชยมาอันนึง ที่เราเห็นว่าเป็นปุ่ม loudness น่ะ แหละ....ถ้าเรากดปุ่มนี้ลงไป เราจะรู้สึกได้ทันทีว่า เสียงดีขึ้น เพราะ เราได้ยินเสียงครบทุกย่านความถี่ นั่นเพราะ วงจร loudness จะไปยกระดับความดังของเสียงทุ้ม กับเสียงแหลมขึ้นมา เพื่อชดเชยกับความ สามารถของหูมนุษย์ในที่นี้............. loudness ก็ทำหน้าที่ EQ ให้เราไงครับ

ทีนี้...........สำหรับนักเล่นที่พิถีพิถันขึ้นมาอีกหน่อย หรือในวงการของ concert หรือ house PA ทั้งหลายแหล่....แค่ loudness มันไม่พอหรอกครับเพราะว่า.....แต่ละสถานที่...แต่ละ เวที...แต่ละสิ่งแวดล้อม...แต่ละห้องมันไม่เหมือนกันเลย......แต่ละแห่ง ก็ต้องการการปรับแต่ง EQ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสิ่งแวดล้อมตัวเองทั้งนั้น  EQ ขนาดปานกลางส่วนใหญ่ มักจะมีข้างละ 10 แบนด์ ตั้งแต่ 64 Hz - 16KHz (16,000 Hz ) เพราะเค้าถือว่า ย่านความถี่ที่มนุษย์ได้ยิน จะอยู่ในช่วงนี้ ส่วนที่ต่ำกว่านี้ และที่สูงกว่านี้ เราจะไม่ค่อยได้ยินแล้ว (ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์...เค้าบอกว่า เราจะได้ยิน ตั้งแต่ 20 - 20000 Hz แต่ตามความเป็นจริงแล้ว....มนุษย์ ผู้ใหญ่อย่างเรา ไม่ได้ยินถึงขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าเป็นเด็กทารกแล้วอาจจะใช่)



วิธีปรับ EQ ที่ง่ายที่สุด ก็คือ ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Spectrum analyzer.... ไอ้เจ้า Spectrum analyzer เนี่ย...มันจะผลิตสัญญานที่เรียกว่า Pink noise ออกมา (เป็นเสียงซ่า ๆ...ฟังแล้วรำคาญหูชะมัด)

เจ้า Pink noise นี่มีสัญญานความถี่ออกมาครบทั้งย่านเลยนะครับ ตั้งแต่ 20-20000 Hz เลยหละ

เมื่อ เราเอาไอ้สัญญาน Pink noise ที่ได้มาจาก Spectrum analyzer เนี่ยต่อ เข้ากับระบบของเรา...เราก็จะได้ยินเสียงซ่าออกมาจากลำโพง

จากนั้นก็เอา Microphone ชนิดพิเศษที่มีความไวสูง (มันมักจะให้มาพร้อมกับ Spectrum analyzer อยู่แล้ว

.....มาต่อเข้ากับ Spectrum analyzer แล้วเอาไอ้ Mic เนี่ย ไปวางไว้ตรงตำแหน่งที่นั่งฟัง

คราวนี้ เราก็มาดูที่หน้าจอของ Spectrum analyzer เราก็จะรู้ว่า ระบบของเราผลิตสัญญานย่านไหน แรงไป

หรือ ค่อยไป เราก็ไปปรับที่ EQ ของเรา ปรับไปจนกระทั่ง Spectrum analyzer มันแสดงผลว่า ได้ยินทุกย่านความถี่เสียง...เท่าๆกัน

เป็นอันจบ...ถือกัน ว่า ระบบนั้นได้ทำการจูน EQ จน Flat แล้ว.....ไม่ต้องปรับต้องหมุนอะไรอีกแล้ว

ฮ่าาาาา...สบายล้ะ

........... แต่..........อนิจจา.....ในความเป็นจริงของชีวิต มันไม่ง่ายหยั่งงั๊นนนน...ท่านผู้ชม แผ่นแต่ละแผ่น เทปแต่ละม้วน Producer แต่ละคน วงดนตรีแต่ละวง ต่างก็มีอุปนิสัยไม่เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่น......ถ้าเป็นวงดนตรีนะครับ ไอ้มือเบสวงนี้มันเล่นดังเหลือเกิน ส่วนไอ้มือคอร์ดก็เล่นเบ๊า-เบา แต่ไอ้นักร้องก็เสียงดีเหลือเกิน...บางจ๋อยเชียว มันก็ยังต้องปรับต้องหมุน กันอยู่นั่นเอง.......

แต่เราก็พยายามอย่าไปยุ่งกับ EQ ก็แล้วกันครับ ไปปรับเอาที่ channel ของแต่ละคนซะ ตานี้.....ถ้าไม่มี Spectrum analyzer จะปรับยังงัยล่ะ ? มันก็ต้องปรับกันด้วย หู เรานั่นแหละครับ Spectrum analyzer ที่ธรรมชาติให้มากับทุก ๆ คน ทำงี้ครับ.......ตั้ง EQ ทุกปุ่ม ไว้ที่ center ซะก่อน ตรง 0 db นั่นแหละ...

แล้วหา เพลงที่ เราคุ้นที่สุด...ชอบที่สุด...ชินที่สุด ถ้าเป็นไปได้ขอให้เป็นแผ่น CD...เปิด เพลงนี้ฟังดู.......เปิดให้ดังนะครับ อย่าเปิดค่อย พยายามให้ระดับความ ดังใกล้เคียงกับระดับความดังของการใช้งานจริง ๆ เลยหละ (ผลพลอยได้ก็คือ ...กว่าจะปรับเสียงเสร็จ หูก็อื้อทั้งวันแหละครับ เมียด่าอะไรก็ไม่ได้ยินไป 1 วัน) สังเกตุเสียงที่เราได้ยินนะครับ ว่ามีอะไรมันมากไป-น้อยไป เสียงกระเดื่องกะเสียง bass guitar มันกลมกลืนกลมกล่อมมั๊ย...เสียง guitar chord มันโด่ขึ้นมามากเกินไปมั๊ย หรือว่ารองพื้นดีอยู่แล้ว

...เสียง ร้องฟังดูชัดเจนสดใสมั๊ย ไม่ใช่ฟังแล้วเหมือนไม่เต็มใจร้องบอกซะก่อนนะ ครับ.....ว่า...ปรับยากครับ ! ! ! มันต้องมีประสบการณ์น่ะ

หู ต้องผ่านศึกสงครามทางด้านเสียงมานานพอควรเชียวแหละก็มี trick เล็กๆน้อย แถมให้นะครับ- เสียงร้องจะอยู่แถว ๆ 1k หรือ 1000 Hz

- ย่าน 100 - 500 ถ้ายกมากเกินไป จะทำให้เสียง บวมมมมม

- ย่าน 2000 - 4000 เนี่ยตัวดี.. มันทำให้เสียงแข็งและหอนง่าย

- ขอซะอย่าง ไอ้ปรับเป็นรูปปีกนก เป็นสายรุ้ง เป็นท้องช้างอะไรนั่นน่ะ....มันใช้บ่ได้จ้าาา

- พยายามเน้นการลด...ไม่ใช่การยกนะครับ

- เพลงที่ใช้ปรับเสียงควรจะหลากหลายนะครับ ไม่ใช่ใช้มันอยู่เพลงเดียว ควรจะมีทั้ง jazz ทั้ง rock ทั้ง acoustic เพลงบรรเลง เพลงร้อง

เฮ้อ..... ก็คงช่วยได้แค่นี้แหละครับ....ลองทำดูนะครับ

การ EQ ให้เสียงชัดเจนมากขึ้น

เค้า บอกว่า ปกติแล้วเนี่ย การที่เสียงนั้นๆไม่มีความเป็นตัวตนที่ชัดเจน (lack of definition) ก็เพราะว่ามีความถี่ช่วง 400-800 Hz มากเกินไป ความถี่ช่วงนี้จะทำให้เสียงมีลักษณะ ' boxy ' (แปลเป็นไทยไงดีล่ะคับ เหมือนอัดเสียงในกล่องอ่ะ อืมม..คงแบบอู้อี้ ไม่ค่อยรู้เรื่องมั้งฮะ)

ส่วน วิธีการแก้ไขก็ทำดังนี้ครับ (ต้องใช้ EQ แบบ parametric หรือ sweep นะครับ)

1) ให้เราปรับปุ่ม gain หรือ boost/cut ลดลงประมาณ 8-10 dB

2) sweep ความถี่ไปเรื่อย ๆ จนถึงที่ ๆ คุณรู้สึกว่า เสียงมันมี definition มากที่สุด ไม่ boxy เท่าไรแล้ว

3) ทีนี้ปรับปุ่ม gain หรือ boost/cut ของเราตามแต่รสนิยมครับ แต่ให้ระวังว่าถ้าลดมากไปจะทำให้เสียงบางได้

4) ถ้า ต้องการความชัดเจนมากอีกหน่อยลองเพิ่มที่ ช่วงความถี่เสียงกลางสูง (upper mids) ประมาณ 1-4kHz เอาแค่ 1-2 dB. ก็พอครับ หรือว่าอยากเพิ่มมากกว่านั้นก็ได้แต่ต้องระวังนิดนึง

5) ถ้าต้องการ เพิ่มความแวววาว, ทอประกายให้กับเสียง (sparkle) ลองเพิ่มช่วง 5-10kHz ดูครับ

6) ถ้าต้องการเพิ่ม 'air' ให้รู้สึกโปร่ง ๆ ก็ลองเพิ่มตรง 10-15kHz ครับ

NOTE! ควรที่จะปรับลดเสมอถ้าเป็นไปได้ การปรับเพิ่มนั้น จะทำให้ความสัมพันธ์ของ phase เปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้เสียงนั้นมีสีสันอันไม่พึงปรารถนาได้ ปกติแล้ว ยิ่ง boost มากเท่าไร phase shift ก็มากตามไปด้วย และการ mix ก็จะยิ่งยากเข้าไปใหญ่ engineer หลายๆคนใช้ EQ เท่าที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ถ้าเสียงมันดี มันก็ดีนั่นแหละ

เค้าบอกว่านอกจากการปรับ EQ แบบนั้นแล้ว คุณยังสามารถปรับอีกวิธีได้ด้วย ลองทำดูนะครับ

1) เริ่มจากการปรับ EQ ให้ flat ให้หมด (ปุ่ม boost/cut, gain อยู่ที่ตำแหน่ง 0 หมด) เสร็จแล้วปรับลดเสียงย่านความถี่ต่ำลงให้หมด (หมดเลยนะครับ cut ไป 18-20dB. หรือเท่าที่มันจะมีให้น่ะครับ)

2) ใช้ EQ ส่วนที่เหลือแทน ค่อยๆ ปรับ upper mids (ประมาณ 1-4kHz) จนเสียงมันมีความหนาพอดีๆ

3) จากนั้นก็มาปรับเสียง lower mids (ประมาณ 250-900Hz) ให้เสียงมันครบขึ้น

4) จากนั้นค่อยๆปรับเสียงย่านความถี่ต่ำขึ้นมาครับ (จากที่เราปรับลดไปหมดเลย) ดูให้มันมีความหนักหน่วงพอสมควร แต่ไม่มากไปจนเสียงขุ่นมัว (muddy)

5) เพิ่มความถี่สูงๆ เพื่อให้มันมี definition มากขึ้น

 Equalizer หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า EQ คือการเพิ่มหรือลดความดังของสัญญาณเสียงที่ความถี่ต่างๆ ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ นะครับ

ก็อย่างเช่น ปุ่มปรับ Treble, Bass บนเครื่องเสียงที่บ้านนั่นแหละ ก็เป็น EQ อย่างนึง ที่มีให้ปรับ เพิ่ม, ลด เสียงทุ้ม, แหลม แต่ในตัว EQ plug in ที่เราใช้ในโปรแกรมจะสามารถปรับได้ละเอียดลึกลงไปมากกว่านั้นอีก

EQ จะมีรูปแบบการทำงานอยู่สองลักษณะ คือ

แบบแรก เป็นการเพิ่มลดความ ดังที่บริเวณความถี่นั้น (Bell) ถ้าวาดเป็นกราฟ แกน x เป็นความถี่ แกน Y เป็นความดัง ก็จะได้รูประฆังคว่ำ (ถ้าเพิ่ม) หรือระฆังหงาย (ถ้าลด)

ส่วนอีกแบบ คือ แบบ Shelving คือตั้งแต่ความถี่ที่เราเซ็ทเป็นต้นไปจะดังเท่านั้นไปตลอด ค่า parameter ต่าง ๆ ที่มีให้ปรับใน EQ ทั่ว ๆ ไปก็จะมี 

Frequency : เลือกความถี่ที่เราต้องการจะปรับ

Gain : คือปริมาณที่เราจะเพิ่ม (Boost) หรือลด (Cut) ความดังของเสียงที่ความถี่นั้นๆ

Q : คือค่าที่ใช้กำหนดความกว้างของช่วงความถี่เสียง

ซึ่งค่านี้ก็จะไปเกี่ยว กับ Bandwidth โดย Bandwidth = Frequency / Q

ตัวอย่าง เช่น เราตั้งความถี่ที่จะปรับไว้ที่ 1000 Hz ค่า Q ตั้งไว้ที่ 10

ดังนั้น Bandwidth ก็จะเท่ากับ 1000 / 10 = 100 Hz
หมายความว่าความถี่ที่มีผล กระทบในการปรับจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 950 Hz ถึง 1050 Hz

อีกซักตัวอย่าง.. ถ้าเราเปลี่ยนค่า Q เป็น 1
Bandwidth ก็จะเท่ากับ 1000 / 1 = 1000 Hz ความถี่ที่จะถูกปรับก็คือช่วง 500 Hz ถึง 1500 Hz

จะเห็นได้ว่าค่า Q ยิ่งมากช่วงความถี่ที่จะถูกปรับก็จะยิ่งแคบ รูประฆังก็จะแคบ ๆ แหลม ๆ เหมาะสำหรับการหาความถี่ที่เฉพาะเจาะจงลงไป และ ถ้าค่า Q น้อย รูประฆังจะออกมาบาน ๆ กว้าง ๆ ทำให้ได้เสียงค่อนข้าง smooth เพราะความถี่จะถูกเกลี่ย ไม่มีความถี่ที่โดดขึ้นมาชัดเกินไป

EQ แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้

1. Fixed-Frequency EQ จะแบ่งช่วงความถี่ไว้เป็น high, mid, low ในแต่ละช่วงก็จะมีให้ปรับ Gain และปรับเลือกความถี่ที่อยู่ในช่วงนั้น ๆ

2. Graphic EQ ก็เป็น fixed-frequency แบบนึง มีลักษณะเป็นสไลด์หลายๆ อันเรียงกัน อย่าง EQ ใน WinAmp นั่นแหละครับ

3. Parametric EQ แบบนี้จะสามารถเลือกได้ทั้งความถี่และ bandwidth

4. Paragraphic EQ แบบนี้จะรวม Graphic EQ และ Parametric EQ ไว้ด้วยกัน คือจะมีสไลด์เรียงต่อกันเป็นพรืดแบบ Graphic EQ

และแต่ละสไลด์ก็สามารถ เลือกความถี่และ bandwidth ได้อีกด้วย

EQ plug-in จากแต่ละค่ายก็จะมีหน้าตาต่างกันไป โดยหลัก ๆ ก็จะแบ่งออกเป็นหลายๆ band ในแต่ละ band จะให้เราเลือกว่าเป็นแบบ bell หรือ shelve จากนั้นก็ปรับ เลือกความถี่ , Gain , ค่า Q ตามต้องการ บางตัวอาจจะมีปุ่ม on/off ในแต่ละ band มาให้ด้วยเพื่อความสะดวก ถ้าเราจะเปิด/ปิดการใช้งานบาง band ไม่ต้องเสียเวลามาปรับ gain ให้เป็น 0

การปรับ EQ 31 ช่อง

20 Hz เสียงเบสทุ้มลึก บางครั้งออกอาการเบลอ ควรระวังในการปรับความถี่นี้

25 Hz เสียงเบสทุ้มลึก ถ้าบูทมากเบสจะคราง รักษาระดับให้ดี

31.5 Hz เสียงเบส เดินเรียบ ลูกเบสริทึ่ม เบสดรัมจะหนา และอาจเบลอได้ คัทตรงนี้ให้ได้ลูก กระเดื่องหลายสไตล์ ทุ้มแบบบลู หรือ สดแบบร็อค

40 Hz เสียงลูกเบสที่ชัดเจน เสียงทุ้มต่ำของเบสดรัม

63 Hz เบสชัดเจน เบสดรัมมีน้ำหนักและกระแทกกระทั้น เสียงทุ้มต่าง ๆ ของกลองทอม

80 Hz จุดที่สำคัญที่สุดของเสียงเบส และกระเดื่อง น้ำหนักเสียงเสียงทั้งหมดของ 2 ดนตรีจะอยู่ที่ ตรงนี้

100 Hz เสียงโซโล่เบส ชัดเจน เสียงกระเดื่องกระแทก ถ้าต้องการกระเดื่องแข็งๆ แบบเพลงร็อค เพลงลูกทุ่งควรคัทลง

125-200 Hz เสียงแข็งๆ ของเบสและกระเดื่อง และเสียงบวมๆ ของทอม เป็นช่วงที่ควรคัทลง ไม่ว่าสภาพห้องยังไง เพราะเสียงไม่นุ่มเลยถ้าบูท

250 Hz ลูกชัดเจนของกระเดื่อง และเบส เสียงทุ้มของสแนร์และกลองทอม เสียงร้องจะทุ้มๆ ลึกๆ แบบหยาด นภาลัย

315 Hz เสียงร้องนุ่มๆ อิ่มๆ กระเดื่องกระแทกหนัง เสียงตบเบส ช่วงที่หนาพอสมควรในเสียงกลาง

400 Hz เสียงร้องจะอิ่ม นุ่มทุ้ม มีน้ำหนัก ได้อารมณ์โดนเฉพาะเพลงลูกกรุง ช่วงหนีความถี่ของกระเดื่อง กับ เบส สแนร์เสียงเต็มดัง ตับๆ กลองทอมชัด

500 Hz เสียงกลางชัดเจน ทั้งเสียงร้องและดนตรี หนาแน่น

630 Hz เสียงกลาง ช่วยเพิ่มให้ 500 Hz ฟังชัดขึ้น กลองทอมเสียงเต็ม กังวาน

800 Hz เสียงชัดถ้อย ชัดคำ แต่อย่าไปบูทมากนะครับ มันจะเหมือนพูดในโอ่ง ทอมกังวาน

1 KHz เสียงพูดใส ชัดเจน เสียงตบเบส และ หัวกระเดื่อง

1.6 KHz-2 KHz ช่วงเสียงกลางที่คมๆ เสียงพูดจะหนามาก แต่เวลาร้องควรลด เพราะไม่นุ่ม ปลายกระเดื่องเสียงหนังคมๆ เสียงติ๊กๆ ของเบส เสียงไฮแฮท คม บาดหู

2.5 KHz-3.15 KHz เอฟเฟคเสียงรีเวิร์บชัดเจน น่าฟัง ปลายเสียงร้องสดใส เสียงไฮแฮท คมชัด หัวกลองทอม

4 KHz-6.3 KHz ทุกอุปกรณ์ เสียงคมบาดหู ควรลดเสียงร้องแหลมคมแทงหู

8 KHz-10 KHz ปลายเสียงใสๆ ของทุกอุปกรณ์ เอฟเฟคฟุ้งกระจาย เสียงกว้างขึ้น

16 KHz-20 KHz ปลายเสียงแหลม

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า